ความแตกต่างของ
Training,
Coaching, Counselling, Mentoring
Training แปลเป็นไทยว่าการฝึกอบรม
ซึ่งพนักงานและผู้จัดการส่วนใหญ่ในองค์กรบ้านเรามีความเข้าใจคำนี้ตรงกันมากที่สุด
ความหมายง่ายๆ ของคำนี้ก็คือ การที่พนักงานไปเข้าชั้นเรียน ที่มีการเรียนการสอน
เพื่อเป็นการพัฒนาความรู้ ทักษะในการทำงานด้านต่างๆ เป้าหมายของการฝึกอบรมก็คือ
การเพิ่มพูนความรู้ ทักษะใหม่ๆ ให้กับพนักงาน โดยอาศัยวิทยากร
และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ด้านนั้นมาถ่ายทอดให้ฟังกัน
Coaching แปลเป็นไทยว่าการสอนงาน ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนเท่ากับความหมายของคำๆ นี้จริงๆ
โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่า Coaching นั้นก็คือ
การช่วยทำให้ผู้ถกโค้ชสามารถตระหนักถึงความสามารถของตนเองในการไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้
ผมชอบความหมายของคำว่า Coaching ที่เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า
“Helping people to unlock their potential” ซึ่งก็คือ
เป็นการช่วยให้พนักงานได้รู้ว่าตนเองมีศักยภาพอะไรบ้าง เป็นการปลดล็อค
ข้อจำกัดในตัวเอง เพื่อจะได้ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
เป็นการช่วยให้พนักงานได้เรียนรู้ เป็นการส่งเสริม กระตุ้น และผลักดัน
ให้พนักงานได้เรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง และสามารถที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง
มากกว่าการมานั่งสอนกันทีละขั้นทีละตอน แบบนี้เราจะเรียกกว่า Teaching มากกว่า
Counselling การให้คำปรึกษาหารือ คำนี้จริงๆ แล้วแตกต่างกับสองคำข้างต้นค่อนข้างมาก
แต่ก็เห็นหลายคนใช้ปะปนกันไปมาเหมือนกัน การ Counselling นั้น
เป็นการให้คำปรึกษาหารือ โดยเน้นไปที่การแก้ปัญหาในอดีตที่ผ่านมา
เป็นการช่วยให้พนักงานสามารถที่จะก้าวผ่านปัญหาในอดีตที่อาจจะมีผลต่อผลงานในอนาคต
แต่ถ้าเป็นการ Coaching จะเน้นไปที่อนาคต เพื่อจะดูว่า
เราจะทำให้พนักงานไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร ด้วยวิธีการใดบ้าง
มองอนาคตเป็นหลัก แต่การ Counselling จะมองอดีตเป็นหลัก
เช่นพนักงานมีปัญหาเรื่องของความท้อแท้ หมดพลัง แบบนี้ก็ต้องแก้ไขที่อดีต
ลักษณะนี้จะถือเป็นการ Counselling มากกว่า Coaching
Mentoring หรือภาษาไทยใช้คำว่า พี่เลี้ยง ลักษณะของการเป็นพี่เลี้ยงก็คือ
เป็นการนำเอาคนที่มีประสบการณ์มากๆ มากให้คำแนะนำถึงแนวทางต่างๆ ในการทำงาน
โดยเน้นไปที่ให้คนๆ นั้นเป็นตัวอย่างที่ดี (Role Model) เพื่อที่จะทำให้พนักงานเข้าใจวิธีการและแนวทางในการทำงานมากขึ้น
แต่คำว่า Coaching นั้น คนที่เป็น Coach อาจจะไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบทุกอย่าง แต่ต้องมีความสามารถที่จะช่วยให้พนักงานหาคำตอบนั้นได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นถ้าท่านต้องการใช้คำว่า Coaching
เพื่อการบริหารผลงานแล้ว สิ่งที่ท่านจะต้องเน้นมาก็คือ
คนที่เป็นโค้ช จะต้องเป็นผู้ที่ช่วยให้พนักงานตระหนักถึงความสามารถของตน
และสามารถที่จะหาทางออกเพื่อไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ด้วยตนเองได้ ถ้ายังหาไม่เจอ
หรือยังไม่ใช่ โค้ชก็จะค่อยๆ ชี้แนะไปเรื่อยๆ
แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้คำตอบทุกอย่าง
เมื่อเห็นภาพดังนี้แล้ว
ผมคิดว่าน่าจะพอเห็นภาพของคำว่า Coaching ในระบบบริหารผลงานมากขึ้นนะครับ
เนื่องจากในระบบบริหารผลงานนั้น เราจะต้องบริหารพนักงานให้เขาสร้างผลงานให้ได้ตาม KPI
ที่กำหนดไว้ ซึ่งก็คือเป้าหมายในอนาคตที่องค์กรต้องการ ดังนั้นคำว่า
coaching ก็จะเข้ามามีส่วนมากหน่อย
เพราะเป็นการช่วยพนักงานโดยการมองไปที่อนาคตมากกว่าอดีต
และเป็นการทำให้พนักงานตระหนักว่าตนเองมีความสามารถในการทำงานให้ได้ตาม KPI
ที่ตั้งไว้ได้ โดยที่หัวหน้าอาจจะไม่ได้เป็นผู้บอกคำตอบ
แต่จะเป็นผู้ชี้แนะ และใช้คำถามเพื่อให้ลูกน้องได้คิด ไตร่ตรอง
และหาแนวทางนั้นได้ด้วยตนเอง
ถ้าเราทำให้พนักงานสามารถคิดหาแนวทางได้ด้วยตนเองจริงๆ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ พนักงานจะเก่งขึ้น มีความสามารถมากขึ้น คิดหาทางแก้ไขปัญหาได้ลึกซึ้งมากขึ้น
ซึ่งนี่ก็คือ ผลดีของการ Coaching
อย่าลืมนะครับว่า
Coaching
is Helping people to unlock their potential.
แหล่งที่มา
ประคัลภ์
ปัณฑพลังกูร: Think People Consulting / มิถุนายน 26,
2014
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น