วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Pedagogy Adragogy Heutagogy คืออะไร

 Pedagogy  Adragogy  Heutagogy 

          Pedagogy หมายถึงศิลปและศาสตรของการเปนครูซึ่งขยายความตอไปอีก จะเปนการใชเทคนิควิธีทางการสอนและอื่น ๆ อีกมากที่เกี่ยวกับการสอน คําวา Pedagogy มาจากคําวา Paidagogos ใน ภาษากรีกโบราณ หมายถึง ทาส ที่ทําหนาที่สั่งสอนแนะนําการเรียนรูใหกับเด็ก ๆ ที่เปนลูกหลานของทาสตามที่เจานาย ตองการและเด็ก ๆ ที่อยูในความดูแลของ Paidagogos ก็ลวนเปนทาสทั้งนั้น สวนผูที่ไมไดเปนทาสนั้นไมตองเชื่อฟง คําสั่งสอนจากผูเปนทาส จึงเปนหนาที่ของ Paidagogos ที่ทําหนาที่ฝกลูกทาสเหมือนกับครูฝกทหาร (Drill Sergeant) เพื่อใหมั่นใจวาทาสเหลานั้นจะทําหนาที่ไดอยางดีตามที่เจานายตองการคําวา “paidia” (παιδιά) หมายถึงเด็ก ๆ (Children) 
           Adragogy หมายถึงการสอนผูใหญ แตกตางจาก Pedagogy ซึ่งหมายความถึงเด็ก ๆ (Child-Leading) และแสดงใหเห็นวาการสอนผูใหญมีความแตกตางจากการสอนเด็กโดยเฉพาะอยางยิ่งในการเรียนการ สอนอาชีวศึกษาและการฝกอาชีพรวมทั้งการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาดวยการเรียนการสอนผูใหญทั้งที่มีการ เรียนแบบตัวตอตัว ไปจนถึงการเรียนแบบทางไกลนั้นใชฐานความรูความเขาใจในการกระบวนการเรียนรูของผูใหญ ในเรื่องของการนําทางดวยตนเอง (Self-Directedness) หมายถึงการควบคุมและกําหนดแนวทางของการเรียนดวย ตนเอง สําหรับหลักการและกระบวนการสอนผูใหญตามทฤษฎีของ Knowles สรุปได 4 ประการไดแก 
1) ผูใหญ ตองการมีสวนในการวางแผนและประเมินการเรียนการสอน
2) ประสบการณทั้งที่ถูกและผิดเปนฐานของการเรียนและ การจัดประสบการณใหมในการเรียนรู 
3) ผูใหญสนใจในเนื้อหาของการเรียนที่เกี่ยวของกับงานที่ทําในขณะนั้นหรือ การใชชีวิตในขณะนั้น และ 4) การเรียนของผูใหญจะใชปญหาเปนศูนยกลาง (Problem-Centered) ในการนําเขาสู กระบวนการเรียนการสอนมากกวาการใชเนื้อหาเปนตัวนํา (Content-Oriented) เขาสูการเรียนการสอน 
          Heutagogy หมายถึง การเรียนสําหรับคนที่มีศักยภาพพรอมที่จะเรียนในองคกรที่มีศักยภาพที่สามารถใหการเรียนรู และเรียนบนฐานของความสามารถที่จะเรียนไดดวยตนเอง สามารถควบคุมตนเองกําหนดทิศทางการเรียนดวยตนเอง ดวยรูปแบบและวิธีการตาง ๆ และเรียนรูที่จะเรียนไดอยางไรใหเหมาะสมกับตนเอง เปนตน ดังนั้นเทคโนโลยีการสอน อาชีวศึกษาและการฝกอาชีพจึงควรใหความสนใจกับการเรียนการสอนแบบ Heutagogy ซึ่งนาจะเปนกระบวนการ เรียนการสอนที่สอดคลองกับโลกปจจุบันและอนาคตอีกดวย

แหล่งข้อมูล
รองศาสตราจารยดร. กฤษมันต  วัฒนาณรงค

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หลักธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา

หลักธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น  มีมานานตั้งแต่สมัยพุทธกาล  นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา  2558  กว่าปีแล้ว  แต่มันก็ยังใช้ได้หรือทันสมัยอยู่ตลอดเวลา สามารถไปใช้ได้เลยหรือนำไปดัดแปลง เป็นหลักการบริหารองค์กรหรือหน่วยงาน และสถานศึกษา หรือโรงเรียน จึงได้นำเสนอหลักธรรมเพื่อไปใช้หรือนำไปเป็นหลักการในการทำงาน ในการบริหารการศึกษา บริหารสถานศึกษา บริหารงานโรงเรียน และกับการบริหารตนเอง และแนวทางในการบริหารงานได้เป็นอย่างดี  ซึ่งหลักธรรมสามารถพิสูจน์ได้ นั้นคือ  สัจธรรม ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริง สำหรับนักบริหารก็มีหลักธรรมสำหรับยึดถือและปฏิบัติอย่างมากมาย  ดังต่อไปนี้

พรหมวิหาร  4
เป็นหลักธรรมของผู้ใหญ่(ผู้บังคับบัญชา)  ที่ควรถือปฏิบัติเป็นนิตย์ มี 4 ประการ คือ
1.  เมตตา      ความรักใคร่ ปราณนาจะให้ผู้อื่นมีความสุข
2.  กรุณา      ความสงสาร คิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
3.  มุทิตา      ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข
4.  อุเบกขา   วางตนเป็นกลาง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เมื่อผู้อื่นถึงวิบัติ มีทุกข์ 

อคติ 4
         อคติ  หมายความว่า  การกระทำอันทำให้เสียความเที่ยงธรรม  มี 4 ประการ
        1.  ฉันทาคติ    ลำเอียงเพราะรักใคร่
        2.  โทสาคติ     ลำเอียงเพราะโกรธ
        3.  โมหาคติ     ลำเอียงเพราะเขลา
        4.  ภยาคติ       ลำเอียงเพราะกลัว
         อคติ 4 นี้ ผู้บริหาร/ผู้ใหญ่  ไม่ควรประพฤติเพราะเป็นทางแห่งความเสื่อม

สังคหวัตถุ 4 
       เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกันเห็นเหตุให้ตนเอง และหมู่คณะสู่ความเจริญรุ่งเรือง
       1.ทาน                  ให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้
       2.ปิยวาจา          เจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน
       3.อัตถจริยา        ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์
       4.สมานนัตตตา   วางตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน

อิทธิบาท 4
                        เป็นหลักธรรมถือให้เกิดความสำเร็จ
                          1.ฉันทะ     ความพึงพอใจในงาน
                          2.วิริยะ      ความขยันมั่นเพียร
                          3.จิตตะ     ความมีใจฝักใฝ่เอาใจใส่ในงาน
                         4.วิมังสา   ไตร่ตรองหาเหตุผล

ทศพิธราชธรรม  10  ประการ
                เป็นหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์จะพึงถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาลแด่นักบริหาร  เช่น สรรพสามิตจังหวัด  สรรพสามิตอำเภอ  ก็น่าจะนำไปอนุโลมถือปฏิบัติได้    หลักทศพิธราชธรรม  10  ประการ  มีอยู่ดังนี้
              1.  ทาน     คือ การให้ปัน  ซึ่งอาจเป็นการให้เพื่อบูชาคุณหรือให้เพื่อเป็นการอนุเคราะห์
2.  ศีล       ได้แก่การสำรวม  กาย  วาจา ใจ ให้เรียบร้อยสะอาดดีงาม
3.  บริจาค  ได้แก่  การให้ทรัพย์สิ่งของเพื่อเป็นการช่วยเหลือหรือความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้อื่นหรือเป็นการ  
                 เสียสละเพื่อหวังให้ผู้รับได้รับความสุข
4.  อาชวะ  ได้แก่  ความมีอัธยาศัยซื่อตรงมั่นในความสุจริตธรรม
5.  มัทวะ  ได้แก่  ความมีอัธยาศัยดีงาม  ละมุนละไม  อ่อนโยน สุภาพ
6.  ตบะ    ได้แก่  การบำเพ็ญเพียรเพื่อขจัดหรือทำลายอกุศลกรรมให้สิ้นสูญ
7.  อโกรธะ  ได้แก่  ความสามารถระงับหรือขจัดเสียได้ซึ่งความโกรธ
8.  อวิหิงสา ได้แก่  การไม่เบียดเบียนคนอื่น
9.  ขันติ      ได้แก่  ความอดกลั้นไม่ปล่อยกาย  วาจา  ใจ  ตามอารมณ์หรือกิเลสที่เกิดมีขึ้นนั้น
10.  อวิโรธนะได้แก่  การธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม

บารมี 6
              เป็นหลักธรรมอันสำคัญที่จะนิยมมาซึ่งความรักใคร่นับถือ  นับว่าเป็นหลักธรรมที่เหมาะมากสำหรับนักบริหารจะพึงยึดถือปฎิบัติ  มีอยู่  6  ประการคือทาน 
              1.  ทาน         การให้เป็นสิ่งที่ควรให้
              2.  ศีล          การประพฤติในทางที่ชอบ
              3.  ขันติ        ความอดทนอดกลั้น
              4.  วิริยะ       ความขยันหมั่นเพียร
              5.  ฌาน       การเพ่งพิจารณาให้เห็นของจริง
              6.   ปรัชญา   ความมีปัญญารอบรู้

ขันติโสรัจจะ
                    เป็นหลักธรรมอันทำให้บุคคลเป็นผู้งาม  (ธรรมทำให้งาม)
                   1.  ขันติ  คือ  ความอดทน  มีลักษณะ 3  ประการ
                         1.1 อดใจทนได้ต่อกำลังแห่งความโกรธแค้นไม่แสดงอาการกาย วาจา ที่ไม่น่ารักออกมาให้เป็นที่                                        ปรากฏแก่ผู้อื่น
                         1.2 อดใจทนได้ต่อความลำบากตรากตรำหรือความเหน็ดเหนื่อย
                   2.   โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม ทำจิตใจให้แช่มชื่นไม่ขุนหมอง

ธรรมโลกบาล
                        เป็นหลักธรรมที่ช่วยคุ้มครองโลก  หรือมวลมนุษย์ให้อยู่ความร่มเย็นเป็นสุข  มี  2  ประการคือ
                       1.  หิริ   ความละอายในตนเอง
                       2.  โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อทุกข์ และความเสื่อมแล้วไม่กระทำความชั่ว

อธิฐานธรรม  4
                       เป็นหลักธรรมที่ควรตั้งไว้ในจิตใจเป็นนิตย์   เพื่อเป็นเครื่องนิยมนำจิตใจให้เกิดความรอบรู้ความจริงรู้จักเสียสละ  และบังเกิดความสงบ  มี  4  ประการ
                      1. ปัญญา    ความรู้ในสิ่งที่ควรรู้  รู้ในวิชา
                      2.  สัจจะ    ความจริง คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริงไม่ทำอะไรจับจด
                      3. จาคะ    สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแห่งความจริงใจ คือ สละความเกียจคร้าน หรือความหวาดกลัวต่อความยุ่ง                                       ยาก ลำบาก
                     4. อุปสมะ  สงบใจจากสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบ คือ ยับยั้งใจมิให้ปั่นป่วนต่อความพอใจรักใคร่ และ                                           ความขัดเคือง

หบดีธรรม 4
                  เป็นหลักธรรมของผู้ครองเรือนพึงยึดถือปฏิบัติ  มี 4 ประการ คือ
                     1.             ความหมั่น
                     2.             ความโอบอ้อมอารี
                     3.             ความไม่ตื่นเต้นมัวเมาในสมบัติ
                     4.             ความไม่เศร้าโศกเสียใจเมื่อเกิดภัยวิบัติ

ราชสังคหวัตถุ 4
                  เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องช่วยในการวางนโยบายบริหารบ้านเมืองให้ดำเนินไปด้วยดีมี 4  ประการ คือ.
                  1.  ลัสเมธัง    ความเป็นผู้ฉลาดปรีชาในการพิจารณาถึงผลิตผลอันเกิดขึ้นในแผ่นดิน  แล้วพิจารณาผ่อนผัน                                        จัดเก็บเอาแต่บางส่วนแห่งสิ่งนั้น
                  2.  ปุริสเมธัง     ความเป็นผู้ฉลาดในการดูคนสามารถเลือกแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในความถูกต้อง                                              และเหมาะสม
                  3.  สัมมาปาลัง   การบริหารงานให้ต้องใจประชาชน
                  4.  วาจาเปยยัง ความเป็นบุคคลมีวาจาไพเราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามเหตุการณ์ตามฐานะและตามความ                                             เป็นธรรม

สติสัมปชัญญะ
                  เป็นหลักธรรมอันอำนวยประโยชน์แก่ผู้ประพฤติเป็นอันมาก
                  1.  สติ   คือ  ความระลึกได้ก่อนทำ  ก่อนบูชา  ก่อนคัด  คนมีสติจะไม่เลินเล่อ  เผลอตน
                  2.  สัมปชัญญะ  คือ  ความรู้ตัวในเวลากำลังทำ  กำลังพูด  กำลังคิด

อกุศลมูล 3
                      อกุศลมูล     คือ  รากเหง้าของความชั่ว  มี 3 ประการคือ
                      1.  โลภะ        ความอยากได้
                      2.  โทสะ       ความคิดประทุษร้ายเขา
                      3.  โมหะ       ความหลงไม่รู้จริง

นิวรณ์ 5
                       นิวรณ์  แปลว่า  ธรรมอันกลั้นจิตใจไม่ให้บรรลุความดี  มี  5  ประการ
                      1.   กามฉันท์    พอใจรักใคร่ในอารมณ์  มีพอใจในรูป เป็นต้น
                      2.  พยาบาท     ปองร้ายผู้อื่น
                      3.  ถีนมิทธะ     ความที่จิตใจหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
                      4.  อุธัจจะกุกกุจจะ  ความฟุ้งซ่านและรำคาญ
                      5.  วิจิกิจฉา     ความลังเลไม่ตกลงใจได้

ผู้กำจัดหรือบรรเทานิวรณ์ได้  ย่อมได้นิสงส์  5  ประการคือ             
               1.  ไม่ข้องติดอยู่ในกายตนหรือผู้อื่นจนเกินไป
              2.  มีจิตประกอบด้วยเมตตา
              3.  มีจิตอาจหาญในการประพฤติความดี
              4.  มีความพินิจและความอดทน
              5.  ตัดสินใจในทางดีได้แน่นอนและถูกต้อง

เวสารัชชกรณะ 5
                 เวสารัชชกรณะ  แปลว่า  ธรรมที่ยังความกล้าหาญให้เกิดขึ้นมี  5  ประการ  คือ
                1.  ศรัทธา   เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
                2.  ศีล          ประพฤติการวาจาเรียบร้อย
                3.  พาหุสัจจะ   ความเป็นผู้ศึกษามาก
                4.  วิริยารัมภะ   ตั้งใจทำความพากเพียร
                5.  ปัญญา         รอบรู้สิ่งที่ควรรู้

อริยทรัพย์ 7
                     1.  ศรัทธา    เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
                     2.  ศีล          ประพฤติการวาจาเรียบร้อย
                     3.  หิริ           ความละอายต่อบาปทุจริต
                     4.   โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปทุจริต
                     5.  พาหุสัจจะ ความเป็นคนได้ยินได้ฟังมามาก
                     6.  จาคะ การให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้
                     7.  ปัญญา ความรอบรู้ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นไท

สัปปุริสธรรม 7
                         เป็นหลักธรรมอันเป็นของคนดี  (ผู้ประพฤติชอบ)  มี  7  ประการ
                        1.  ธัมมัญญุตา    ความเป็นผู้รู้ว่าเป็นเหตุ
                        2.  อัตถัญญุตา    ความเป็นผู้รู้จักผล
                        3.  อัตตัญญุตา    ความเป็นผู้รู้จักตน
                        4.  มัตตัญญุตา    ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
                        5.  กาลัญญุตา     ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสม
                        6.  ปุริสัญญุตา     ความเป็นผู้รู้จักสังคม
                        7.  บุคคลโรปรัชญญุตา   ความเป็นผู้รู้จักคบคน
  
คุณธรรมของผู้บริหาร 6
                  ผู้บริหาร  นอกจากจะมีคุณวุฒิในทางวิชาการต่าง ๆ แล้วยังจำเป็นต้องมีคุณธรรมอีก 6 ประการ
                 1.  ขมา         มีความอดทนเก่ง
                 2.  ชาตริยะ     ระวังระไว
                 3.  อุฎฐานะ    หมั่นขยัน
                 4.  สังวิภาคะ  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
                 5.  ทยา       เอ็นดู  กรุณา
                 6.  อิกขนา  หมั่นเอาใจใส่ตรวจตราหรือติดตาม

ยุติธรรม 5
                 นักบริหารหรือผู้นำมักจะประสบปัญหาหรือร้องเรียนขอความเป็นธรรมอยู่เป็นประจำหลักตัดสินความเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรม”  มี  5  ประการ คือ
                 1.  สัจจวา     แนะนำด้วยความจริงใจ
                 2.  บัณฑิตะ   ฉลาดและแนะนำความจริงและความเสื่อม
                 3.  อสาหะเสนะ   ตัดสินด้วยปัญญาไม่ตัดสินด้วยอารมณ์ผลุนผลัน
                 4.   เมธาวี   นึกถึงธรรม  (ยุติธรรม) เป็นใหญ่ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง
                 5.  ธัมมัฎฐะ   ไม่ริษยาอาฆาต ไม่ต่อเวร

ธรรมเครื่องให้ก้าวหน้า 7
                   นักบริหารในตำแหน่งต่าง ๆ ย่อมหวังความเจริญก้าวหน้าได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นระพุทธองค์ทรงตรัสธรรมเครื่องเจริญยศ (ความก้าวหน้า)  ไว้ 7 ประการ คือ
                    1.   อุฎฐานะ    หมั่นขยัน
                    2.  สติ    มีความเฉลียว
                    3.  สุจิกัมมะ     การงานสะอาด
                    4.  สัญญตะ     ระวังดี
                    5.  นิสัมมการี  ใคร่ครวญพิจารณาแล้วจึงธรรม
                    6.  ธัมมชีวี       เลี้ยงชีพโดยธรรม
                    7.  อัปปมัตตะ  ไม่ประมาท
  
ไตรสิกขา
                     เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความตั้งใจดีและมีมือสะอาด  นักบริหารต้องประกอบตนไว้ในไตรสิกขาข้อที่ต้องสำเหนียก  3  ประการ คือ
                      1.              ศีล              เป็นเครื่องสนับสนุนให้กาย (มือ) สะอาด
                      2.             สมาธิ         เป็นเครื่องสนับสนุนให้ใจสงบ
                      3.             ปัญญา       เป็นเครื่องทำให้ใจสว่าง  รู้ถูก  รู้ผิด

พระพุทธโอวาท 3
                      นักบริหารที่ทำงานได้ผลดี  เนื่องจากได้  ตั้งใจดี  และ  มือสะอาด”  พระพุทธองค์ได้วางแนวไว้ 3 ประการ ดังนี้
                     1.              เว้นจากทุจริต  การประพฤติชั่ว  ทางกาย  วาจา ใจ
                     2.              ประกอบสุจริต  ประพฤติชอบ  ทางกาย  วาจา  ใจ
                     3.              ทำใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาด  ไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง
แหล่งช้อมูล
http://chaitha.igetweb.com/index.php